หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)

เป็นธุรกิจในการลงทุนระยะยาวซึ่งลงทุนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของกิจการในบริษัทที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง นอกเหนือจากการสนับสนุนทางด้านการเงินแล้วผู้ประกอบกิจการธุรกิจร่วมลงทุนยังให้คำปรึกษาทางด้านการเงินอีกทั้งยังชี้แนวทางต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจนั้นๆ สามารถที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้พร้อมที่จะจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่

เนื่องจากการร่วมลงทุนระยะยาวดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงในการลงทุนสูง ธุรกิจร่วมลงทุนจึงต้องการที่จะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่สูงตามความเสี่ยงนั้นๆ โดยมักมีแผนการในการออกจากการลงทุน (Exit plan) ดังกล่าวเมื่อบริษัทที่ร่วมทุนนั้นๆ ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนแบบหุ้นส่วน ถ้าเงินร่วมลงทุนนั้นๆ ได้ผลตอบแทนในอัตราสูงก็หมายความว่าเจ้าของกิจการนั้นๆ ก็จะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงเช่นกัน

ความหมายของ Venture Capital
การร่วมลงทุนคือการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัท ซึ่งมักเกิดขึ้นในภาวะที่ผู้ประกอบการไม่สามารถหาเงินสนับสนุนการธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่นได้ โดยปกติการร่วมลงทุนจะอยู่ในรูปของการลงทุนระยะยาวในหุ้น (Equity) หรือหุ้นกู้ที่สามารถแปลงสภาพ (long-term convertible debt) ซึ่งสามารถแบ่งการร่วมลงทุนเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
  1. การร่วมลงทุนแบบไม่เป็นทางการ (Informal venture capital) ; ซึ่งได้แก่การที่นักลงทุนบุคคลผู้มีฐานะทางการเงินหรือที่ทางต่างประเทศเรียกกันว่า Business Angel ให้เงินสนับสนุนแก่บุคคลใกล้ชิดและไว้วางใจได้ไปดำเนินธุรกิจ
  2. การร่วมลงทุนแบบเป็นทางการ (Formal venture capital) ; ซึ่งพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกาหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้แพร่ขยายไปยังกลุ่มประเทศยุโรป และประเทศกำลังพัฒนา ผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นนักลงทุนที่เข้าไปบริหารจัดการด้วย (Active investor) และนักลงทุนที่มอบหมายให้ผู้บริหารธุรกิจจัดการดำเนินงาน โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว (Passive investor) การพิจารณาร่วมลงทุนสามารถทำได้ตั้งแต่ช่วงที่บริษัทมีเพียงแค่ความคิดในการดำเนินธุรกิจ (Seed financing) หรือช่วงเวลาที่บริษัทต้องการขยายกิจการ (Expansion financeing) จนกระทั่งถึงขั้นที่บริษัทต้องการระดมทุนโดยการขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไป (Initial Public Offering - IPO) นอกจากนี้ การร่วมทุนยังสามารถพิจารณาช่วยเหลือบริษัทที่มีความเป็นไปได้ในการพลิกฟื้นธุรกิจ (Turnaround financeing) หรือกลุ่มผู้บริหารที่ต้องการซื้อหุ้นหรือกิจการของบริษัทอื่น (Leveraged buyout - LBO , Management buyout - MBO) โดยการร่วมลงทุนแบบเป็นทางการสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทดังนี้
  • บริษัทจำกัด เป็นเงินร่วมลงทุนที่ใช้เงินจากภายในบริษัทนั้นๆ เพื่อที่จะมาลงทุนกับผู้ประกอบการซึ่งเงินร่วมลงทุนประเภทนี้มิได้ แยกนิติบุคคลระหว่างกองทุนกับผู้บริหารกองทุน
  • เงินร่วมลงทุนแบบกองทุน เป็นเงินร่วมลงทุนที่แยกระหว่างกองทุนและผู้บริหารกองทุน โดยที่ผู้บริหารกองทุนหนึ่งรายสามารถที่จะบริหารกองทุนได้หลายๆ กองทุนในเวลาเดียวกัน และได้รับค่าจัดการกองทุนในอัตรา 2-3 % ของเงินที่ลงทุน และได้รับส่วนแบ่งกำไร 20% ของกำไรสุทธิของกองทุนโดยกองทุนส่วนใหญ่จะมีอายุกองทุนประมาณ 10-15 ปี และอาจจะถูกจัดขึ้นเป็น ห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยมีหุ้นส่วนบริหาร เป็นอีกนิติบุคคลหนึ่งมาบริหารกองทุน หรืออาจจะถูกจัดขึ้นเป็นบริษัทจำกัด โดยมีผู้บริหารกองทุนเป็นบริษัทจำกัดแยกอีกบริษัทหนึ่ง
ข้อดีของการร่วมลงทุนกับ Venture Capital
  1. ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน โดยไม่มีภาระดอกเบี้ย เพื่อขยายกิจการให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว เพื่อการแข่งขันในยุคโลกาภิวัฒน์
  2. ได้รับความช่วยเหลือในการดำเนินธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จจากผู้ร่วมลงทุนมืออาชีพ เช่นการจัดหาพันธมิตร ทางธุรกิจเพื่อเสริมมิตรภาพทางด้านการผลิต การตลาด การจัดการ ฯลฯ
  3. ได้ผู้ถือหุ้นที่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ง่ายขึ้น
ธรกิจร่วมลงทุนจัดเป็นการลงทุนระยะยาว (โดยเฉลีย 3-5 ปี) เจ้าของกิจการจึงต้องมีความรอบคอบในการคัดเลือกผู้ร่วมการลงทุนให้เหมาะสมซึ่งอาจพิจารณาได้จากสถานะภาพ และวัฒนธรรมทางธุรกิจของกิจการนั้นมากกว่า ความจำเป็นเร่งด่วนในการใช้เงิน
ข้อเสียของการร่วมลงทุนกับ Venture Capital
  1. เสียความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัทที่เคยเป็นของตนทั้ง 100%
  2. ไม่สามารถที่จะบริหารงานแบบตามใจตัวเองได้
  3. ต้องใช้เวลาในการสื่อสารระหว่างเจ้าของกิจการและธุรกิจเงินร่วมลงทุนในการดำเนินธุรกิจ
 ขั้นตอนในการพิจารณาการลงทุนของ Venture Capital
  1. ค้นหากิจการที่ต้องการร่วมลงทุน เพื่อค้นหาผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และ พิจารณาความเป็นไปได้ในการร่วมลงทุนและสามารถที่จะทำกำไรได้
  2. ตรวจสอบข้อเท็จจริง และข้อมูลด้านต่างๆ ของบริษัทที่จะร่วมลงทุน ในเรื่องความโปร่งใส ของข้อมูล (Transparency) ความเป็นธรรมรัฐ (Good Governance) ในการบริหารงาน ตลอดจนมาตรฐานทางบัญชี
  3. พิจารณาเงื่อนไขการเข้าร่วมลงทุน
  4. ขั้นตอนในการลงทุนของบริษัทว่าเป็นไปตามข้อบังคับของกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ และข้อบังคับอื่นๆของบริษัทหรือไม่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความเสียหาย ที่จะผูกพันในอนาคตเมื่อเข้าร่วมลงทุน
  5. ในบางกรณีจะมีการพิจารณาบุคลากรเพื่อเข้าร่วมบริหารกิจการในกิจการที่จะร่วมลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหาร และรองรับการเติบโตของธุรกิจ
  6. การให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ แก่บริษัทที่จะร่วมลงทุน เช่นการให้คำแนะนำการจัดการและการเงินให้กับบริษัทที่จะร่วมลงทุน เพื่อให้สามารถ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้น
  7. เมื่อเข้าร่วมลงทุนโดยการถือหุ้นในกิจการนั้นแล้ว ส่วนใหญ่จะพัฒนากิจการจนสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จึงจะขายหุ้นออกโดยขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้ถือหุ้นใหม่








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น