ตลาดการเงิน (Financial Markets) หมายถึง กระบวนการที่ผู้มีเงินเหลือใช้และผู้ต้องการเงินมาพบและตกลงกัน (trades) มีผลทำให้เกิดสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน ข้อตกลงเหล่านี้ทำโดยผ่านสถาบันที่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดตราสารหนี้ กระบวนการในตลาดการเงินนี้เป็นส่วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยให้หน่วยธุรกิจที่มีสถานะทางการเงินที่แตกต่างกันได้แลกเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อการลงทุนให้แก่กันได้ โดยกิจการที่มีเงินเหลือก็ส่งต่อกระแสเงินสดออกไปในรูปสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets) ในขณะที่หน่วยธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องการเงินเพื่อการลงทุนก็จะกู้ยืมเงินเหล่านั้นมาเพื่อทำการลงทุนซึ่จะอยู่ในสภาพที่เป็นหนี้สินทางการเงิน (Financial Liabilities)
ความสำคัญของตลาดการเงิน
- ทำให้ผู้มีเงินออมได้รับผลตอบแทน ในรูปดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ
- ทำให้ผู้ต้องการเงิน หรือผู้ลงทุนสามารถมีเงินลงทุนสำหรับใช้ในโครงการต่างๆ ได้ ไม่เพียงเท่านั้นตลาดการเงินทำให้ผู้มีโครงการลงทุนแต่มีเงินไม่เพียงพอสามารถหาเงินกู้ไปใช้ในการลงทุน
ได้เพียงพอ โดยมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ขึ้นกับประสิทธิภาพของตลาดการเงิน ถ้ามีตลาดการเงินที่มีประสิทธิภาพ ผู้กู้ก็จะสามารถหาแหล่งเงินทุนได้ด้วยต้นทุนหรือดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำได้ การลงทุนโดยผ่านตลาดการเงินที่มีประสิทธิภาพทำให้การลงทุนที่แท้จริงเกิดขึ้นในอัตราที่ต่ำได้ การลงทุนโดยผ่านตลาดการเงินที่มีประสิทธิภาพทำให้การลงทุนที่แท้จริงเกิดขึ้นและขยายตัวมีผลทำให้กำลังผลิตสินค้าและบริการของประเทศเพิ่มขึ้น - ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากที่กล่าวข้างต้น เงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาดการเงินของผู้ต้องการเงินนั้นจะถูกนำไปลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น มีการหมุนเวียนของเงินมากขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว และเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตแก่เศรษฐกิจของประเทศ
- ทำให้ประชาชนมีมาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น เป็นผลมาจากตลาดการเงินทำให้ผู้มีเงินออมมีรายได้จากการรับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย ผู้ต้องการเงินทุนก็สามารถได้รับเงินไปลงทุนโดยมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม การลงทุนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกิดกำไรในการลงทุน เกิดการจ้างงานมากขึ้น ระดับรายได้ของประชาชนทั่วไปดีขึ้น มาตรฐานการครองชีพก็จะดีขึ้น
ส่วนประกอบของตลาดเงิน
1.ผู้มีเงินออม
- เงินออมภาคเอกชน คือเงินออมของบุคคลทั่วไป หรือธุรกิจต่างๆภายในประเทศ
- เงินออมจากภาครัฐบาล คือเงินที่เกิดจากรายได้ของรัฐบาลที่สูงกว่ารายจ่ายในปีงบประมาณหนึ่งๆ ถือว่าเป็นเงินออมที่นำส่งคลัง เรียกว่า เงินคงคลัง
- เงินออมจากต่างประเทศ คือการระดมเงินจากต่างประเทศทำได้โดยการกู้ยืมจากต่างประเทศ รวมถึงการได้รับเงินช่วยเหลือและเงินโอนจากต่างประเทศ หรืออาจจะเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศโดยภาคเอกชน
2. ผู้ต้องการเงินทุน
- การกู้ยืมภาคเอกชน ซึ่งโดยส่วนใหญเป็นการกู้ยืมเพื่อการลงทุนและอุปโภค บริโภค
- การกู้ยืมภาครัฐบาล มักเกิดการกู้ยืมเมื่อภาครัฐบาลต้องการสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจขึ้นพื้นฐาน (infrastructure) ได้แก่ ถนน ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น
- การกู้ยืมจากต่างประเทศ
3. สินทรัพย์ทางการเงิน
- สินทรัพย์ทางการเงินที่ออกโดยเอกชน ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เช็ค หุ้นกู้ หุ้นบุริมสิทธิ์ หุ้นสามัญ ตราสารที่ได้รับการรับรอง เป็นต้น
- สินทรัพย์ทางการเงินที่ออกโดยรัฐบาล คือ ตราสารที่รัฐบาลออกเพื่อใช้ในการระดมเงินออม เป็นการกู้ยืมโดยภาครัฐบาล ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล และตั๋วเงินคลัง
4. สถาบันในตลาดการเงิน แบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น
- กลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นผู้ค้าสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์
- กลุ่มที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- สถาบันที่ทำหน้าที่ออกกฎหมาย ตลอดจนกำกับดูแลกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย
ประเภทของตลาดการเงิน
ตลาดการเงินที่เข้าใจกันโดยทั่วไป
- ตลาดการเงินในประเทศ
- ตลาดการเงินระหว่างประเทศ
- ตลาดการเงินนอกระบบ เป็นแหล่งการเงินที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทางการ เกิดขึ้นเองตามสภาพเศรษฐกิจของท้องถิ่นนั้นๆ เป็นตลาดการเงินที่ไม่มีระเบียบปฏิบัติ กฏเกณฑ์ หรือสัญญาที่ถูกต้อง อยู่นอกเหนือการควบคุมของทางการจึงมีความเสี่ยงสูง สำหรับผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องและมักมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตลาดในระบบ ลักษณะของตลาดการเงินนอกระบบ ได้แก่ การกู้ยืมกันโดยตรง การเล่นแชร์ การซื้อขายเช็กที่ไม่ผ่านสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฏหมาย ตลาดประเภทนี้ยังคงมีอยู่เพราะ ผู้ออมและผู้ต้องการเงินยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงการออมและการจัดหาทุนในตลาดการเงินในระบบ อีกทั้งการกู้ยืมเงินในตลาดการเงินในระบบ มีขั้นตอนและเงื่อนไขที่ยุ่งยาก รวมไปถึงการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกันสำหรับการหาเงินทุนซึ่งโดยทั่วไปบุคคลธรรมดาและธุรกิจที่เพิ่งเริ่มกิจการมักไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันในการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนในระบบ
- ตลาดการเงินในระบบ ส่วนใหญ่เป็นสถาบันการเงิน เช่นบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ออมทรัพย์ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมฯ ตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น โดยเหล่าสถาบันการเงินต่างๆ จะจัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินมาให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการเงินลงทุน สถาบันการเงินจะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่สำคัญก็คือการดำเนินธุรกิจทั้งด้านการระดมเงินออกและการปล่อยเงินกู้ของสถาบันที่เป็นตัวกลางต้องอยู่ในขอบเขตของกฏหมาย ภายใต้การควบคุมของสถาบันที่มีหน้าที่กำกับดูแลเป็นทางการ
ตลาดเงิน (Money Market)
เป็นตลาดที่ทำหน้าที่ระดมเงินทุนระยะสั้น ส่วนมากไม่เกิน 1 ปี ในตลาดเงินนี้การกู้ยืมจะไม่มีการติดต่อกันโดยตรงระหว่าบุคคลกับบุคคล แต่มีสถาบันการเงินเป็นตัวกลางซึ่งจะใช้เครื่องมือเครดิตระยะสั้นในการให้บริการ เช่น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เช็ค
ตลาดทุน (Capital Market)
เป็นตลาดที่ทำหน้าที่ระดมเงินทุนระยะยาวมากกว่า 1 ปีขึ้นไป ให้ผลตอบแทนแก่ผู้มีเงินออมในรูป ดอกเบี้ย เงินปันผล หรือกำไรส่วนทุน (Capital gain)ตลาดทุนยังแบ่งออกได้ตามลักษณะการทำหน้าที่เป็น 2 แบบ
- ตลาดแรก ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ออกใหม่
- ตลาดรอง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดหุ้น
ตลาดปริวรรตเงินตรา (Currency Market)
ทำหน้าที่เป็นแหล่งสำหรับซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ตลาดปริวรรตเงินตราเป็นตลาดที่เกิดขึ้นที่หลังเมื่อตลาดเงินและตลาดทุนภายในประเทศได้มีการพัฒนาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เพื่อช่วยผู้ลงทุนกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน ผู้ทำหน้าที่ให้บริการซื้อขายคือ ธนาคารพาณิชย์ โดยเงินสกุลที่นิยมซื้อขายกันมากคือ ดอลล่าร์สหรัฐ
สถาบันตัวกลางในตลาดเงินของไทย
- สถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย
- ธนาคารเฉพาะที่จัดตั้งโดยรัฐบาล
- สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์
- บริษัทเงินทุน
- บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
- บริษัทประกันชีวิต
- สหกรณ์ออมทรัพย์
- โรงรับจำนำ
ตราสารทางการเงินในไทย
- ตราสารทางพาณิชย์
- ตั๋วสัญญาใช้เงิน
- ตั๋วแลกเงิน
- เช็ค
- บัญชีลูกหนี้
- ตั๋วเงินคลัง
- พันธบัตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น