หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์การเงิน ; การคำนวณมูลค่าปัจจุบัน

1. จงคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงิน 30,00 บาท ที่จะเกิดขึ้นตอนสิ้นงวดปีที่ 5 เมื่ออัตราดอกเบี้ยธนาคารเฉลี่ยเท่ากับ 4 %

2. ถ้าอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในปัจจุบันเท่ากับ 10% จงคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงิน 100,000 บาท ที่เกิดเมื่อตอนสิ้นงวดในกรณีต่อไปนี้
  • เกิดขึ้นตอนสิ้นปีที่ 3
  • เกิดขึ้นตอนสิ้นปีที่ 5
  • เกิดขึ้นตอนสิ้นปีที่ 8
  • เกิดขึ้นตอนสิ้นปีที่ 12
3. จงคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงิน 350,000 บาท ที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นปีที่ 7 ในกรณีที่มีอัตราดอกเบี้ยต่างๆกันดังนี้
  • 3%
  • 7%
  • 9%
4. สมมติว่ามีผู้เสนอทางเลือกให้พิจารณา 2 ทางเลือกดังนี้
  • ทางเลือกที่ 1 จะให้เงินท่านทุกสิ้นปี ปีละ 100 บาท เท่าๆ กันทุกปี เป็นเวลา 3 ปี
  • ทางเลือกที่ 2 ให้เงินท่านวันนี้จำนวน 250 บาท
หากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันเฉลี่ยเท่ากับ ร้อยละ 5 ท่านจะตัดสินใจเลือกทางเลือกใด เพราะเหตุใด

5. กองทุนหนึ่งจะให้เงินปันผลทุกปีปีละ 5,000 บาท ต่อหน่วยการลงทุน หากท่านต้องการผลตอบแทน 12% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า ควรจะจ่ายเงินซื้อเงินกองทุนนี้หน่วยละเท่าใด

การคำนวณมูลค่าปัจจุบัน (Discounting)

การคำนวณหามูลค่าปัจจุบัน หรือ Discounting นี้ถือเป็นส่วนกลับของการคำนวณมูลค่าทบต้น เป็นการคำนวณกระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้กลับมาอยู่ในรูปของมูลค่าเงินสดในปัจจุบัน เพื่อให้ตัดสินใจทางการเงินได้ง่ายขึ้นและสามารถเปรียบเทียบเงินส่วนต่างๆในอนาคตได้อย่างเหมาะสมเพราะถูกปรับให้เป็นมูลค่าของเงิน ณ เวลาเดียวกัน โดยเราสามารถคำนวณมูลค่าปัจจุบันได้จากสมการนี้

FVn  =  PV(1+i)n

ซึ่งก็คือสมการในการหามูลค่าในอนาคตนั่นเอง

PV  =  FVn [1 / (1+i)n ]

การเป็นผู้ประกอบการ

Entrepreneurship Fundamentals
หัวใจเบื้องต้นของการประกอบการ คือ กระบวนการในการเปลี่ยนความคิดให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ และสร้างมูลค่าให้กับความคิดนั้นๆ ได้
ผู้ประกอบการ คือ ใครก็ตามที่มีความคิด สรรหาเหตุผลประกอบความคิด และลงมือเปลี่ยนแปลงความคิดนั้นให้เป็นโอกาสทางธุรกิจมีสามารถสร้างมูลค่าให้แก่ธุรกิจ โดยต้องเผชิญกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของธุรกิจได้

คุณสมบัติของผู้ประกอบการ
  • เป็นนักแสวงหาโอกาส
  • มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
  • เป็นนักเสี่ยง  ต้องกล้าได้กล้าเสีย
  • มีความคิดริเริ่ม  หรือสร้างสรรค์
  • มีความอดทน
  • มีความใฝ่รู้อยู่เสมอ  เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
  • มีเครือข่ายดี

ตลาดการเงิน

ตลาดการเงิน (Financial Markets) หมายถึง กระบวนการที่ผู้มีเงินเหลือใช้และผู้ต้องการเงินมาพบและตกลงกัน (trades) มีผลทำให้เกิดสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน ข้อตกลงเหล่านี้ทำโดยผ่านสถาบันที่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดตราสารหนี้ กระบวนการในตลาดการเงินนี้เป็นส่วนช่วยให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะช่วยให้หน่วยธุรกิจที่มีสถานะทางการเงินที่แตกต่างกันได้แลกเปลี่ยนสินทรัพย์เพื่อการลงทุนให้แก่กันได้ โดยกิจการที่มีเงินเหลือก็ส่งต่อกระแสเงินสดออกไปในรูปสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets) ในขณะที่หน่วยธุรกิจหรือบุคคลที่ต้องการเงินเพื่อการลงทุนก็จะกู้ยืมเงินเหล่านั้นมาเพื่อทำการลงทุนซึ่จะอยู่ในสภาพที่เป็นหนี้สินทางการเงิน (Financial Liabilities)

ความสำคัญของตลาดการเงิน
  • ทำให้ผู้มีเงินออมได้รับผลตอบแทน ในรูปดอกเบี้ย เงินปันผล ฯลฯ
  • ทำให้ผู้ต้องการเงิน หรือผู้ลงทุนสามารถมีเงินลงทุนสำหรับใช้ในโครงการต่างๆ ได้ ไม่เพียงเท่านั้นตลาดการเงินทำให้ผู้มีโครงการลงทุนแต่มีเงินไม่เพียงพอสามารถหาเงินกู้ไปใช้ในการลงทุน

แบบฝึกหัดคณิตศาสตร์การเงิน ; การคำนวณมูลค่าทบต้น

1. จงอธิบายความหมายของคำเหล่านี้ 
  • FV
  • FVA
  • FVIFi,n
2. จงคำนวณมูลค่าของเงิน 10,000 บาทเมื่อนำไปฝากธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยทบต้น 5% ต่อไป เมื่อปลายปีที่ 5

3. ธิดานำเงินไปฝากธนาคารแห่งหนึ่งจำนวน 5,000 บาท โดยได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ธิดาจะได้เงินรวมเท่าใดเมื่อไปถอนเงินทั้งหมดตอนปลายปีที่ 7

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การคำนวณมูลค่าทบต้น (Compounding)

เป็นส่วนหนึ่งของคณิตศาสตร์การเงิน ถือเป็นการคำนวณหามูลค่าที่ควรจะเป็นในอนาคตในสถานการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและกระทบต่อกระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง (Future Value)

ตัวอย่างที่ 1
หากนำเงิน 100 บาท ไปฝากธนาคารโดยธนาคารให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยที่อัตราร้อยละ 10 ต่อปี เมื่อเงินที่ฝากนั้นครบกำหนด 1 ปี จะได้รับเงินรวมทั้งสิ้นเท่าใด
เมื่อกำหนดให้
        PV       = มูลค่าปัจจุบัน หรือจำนวนเงินต้น
        i           = อัตราดอกเบี้ยต่อปี
        INT      = จำนวนดอกเบี้ยรับในแต่ละปี
                    = เงินต้น x อัตราดอกเบี้ยต่อปี
        FVn     = มูลค่าในอนาคต ณ ปีที่ n
        n          = ระยะเวลาที่เกี่ยวข้องในการพิจารณา

ดังนั้น

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คณิตศาสตร์การเงิน

ในฐานะนักบริหารการเงินที่ดี ควรมีการวางแผนทางด้านการเงินของกิจการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสภาพคล่องของกิจการในอนาคต การลงทุนซื้อเครื่องจักร การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แม้แต่การขยายกิจการออกไปทั้งในสายธุรกิจเดิมหรือลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้อง และการออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินมาใช้ในโครงการต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการตัดสินใจต่างๆดังกล่าว จะมีเงื่อนไขทางด้านเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง การลงทุนเหล่านี้มักกินระยะเวลายาวนานมากกว่า 1 ปี ทำให้ข้อมูลทางการเงินต่างๆ ทั้งรายรับ รายจ่าย และเงินที่จะลงทุนไปในอนาคตแต่ละปีข้างหน้า มีความไม่แน่นอนและมีมูลค่าไม่เท่ากัน เราจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจทางด้าน คณิตศาสตร์การเงิน ซึ่งเป็นการคำนวณหามูลค่าของกระแสเงินสดที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเงินต่างๆ ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญอยู่  2 ประการคือ
  1. กระแสเงินสดที่เกิดขึ้นในเวลาต่างๆ ย่อมมีมูลค่าที่ต่างกัน ซึ่งเราก็จะเห็นได้จากการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันว่าข้าวของต่างๆในปัจจุบันนี้มีราคาแพงกว่าอดีตมาก จากที่เคยซื้อข้าวสารในราคาเพียงกิโลกรัมละ 5 บาทในอดีต แต่ในปัจจุบันเราต้องจ่ายถึง 20 บาทสำหรับข้าวสาร 1 กิโลกรัม และในอนาคตต่อไป เงิน 20 บาทอาจซื้อข้าวสาร 1 กิโลกรัมนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าเงินมีค่าน้องลง เราจึงต้องใช้เงินจำนวนมากขึ้นเพื่อแลกกับข้าวสาร หรือสิ่งต่างๆในปริมาณเท่าเดิม หากมองในด้านกลับกัน เงินเองก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวมันเองได้ หากเรานำเงิน

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แหล่งเงินทุนภายในกิจการ

บางครั้งการลงทุนเพิ่มเติม หรือการขยายกิจการของธุรกิจอาจจะต้องใช้แห่งเงินทุนระยะยาวเพิ่ม ซึ่งแหล่งเงินทุนระยะยาวที่สามารถนำมาใช้ในการลงทุนได้ที่สำคัญอีกแหล่งคือแหล่งเงินทุนภายในธุรกิจเองซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นส่วนส่วนใหญ่ๆ คือ

ค่าเสื่อมราคา (Depreciation)

ค่าเสื่อมราคาเป็นวิธีการทางบัญชีเพื่อตัดจำหน่ายเงินที่ลงทุนไปในสินทรัพย์ประจำต่างๆ ออกเป็นค่าใช้จ่ายในแต่ละงวดบัญชีเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานและรายได้ที่เกิดจากการใช้สินทรัพย์ประจำเพื่อการดำเนินงานในงวดนั้นๆ  ค่าเสื่อมราคาจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่หักภาษีได้โดยมิได้มีการจ่ายเงินสดออกไปจริง เงินสดส่วนนี้จึงถือเป็นแปล่งเงินทุนส่วนหนึ่งที่ธุรกิจนำมาใช้ในการดำเนินงานได้ และจะได้ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ธุรกิจยังดำเนินการอยู่ จึงถือว่าค่าเสื่อมราคาเป็นแหล่วงเงินทุนแหล่งหนึ่งสำหรับธุรกิจ
กำไรสะสม (Retained earnings)
กำไรสะสมเป็นส่วนหนึ่งของกำไรสุทธิที่กันไว้ในกิจการหลังจากจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นแล้ว จำนวนกำไรสะสมจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการหากำไรและนโยบายเงินปันผลของกิจการ เนื่องจากกำไรสะสมเป็นส่วนของกำไรสุทธิคือกำไรที่เป็นของผู้ถือหุ้นสามัญ แต่กิจการต้องการเงินทุนเพื่อการลงทุนต่อไปจึงกันกำไรสุทธิไว้ส่วนหนึ่งและจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นเพียงส่วนหนึ่ง ส่วนของกำไรสุทธิที่กันไว้และเรียกว่ากำไรสะสมจึงถือว่าเป็นเงินทุนจากส่วนของเจ้าของเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ กิจการที่ต้องการควบคุมการบริหารงานส่วนมากจะไม่ออกหุ้นสามัญเพิ่มเติม แต่จะกันกำไรสะสมเพื่อใช้เป็นเงินทุนมากกว่าจ่ายปันผลจำนวนมาก
ซึ่งกำไรสะสมจะมากหรือน้อยนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ หากดำเนินงานแล้วมีกำไรสุทธิมากก็สามารถกันเงินไว้เป็นกำไรสะสมได้มากไปด้วย ในขณะเดียวกันถ้าหากธุรกิจมีการจ่ายเงินปันผลมาก กำไรสะสมก็จะน้อย ดังนั้นจึงต้องมีการจัดสรรกำไรสะสมให้เป็นที่พึงพอใจทั้งผู้ถือหุ้นและเพียงพอต่อการนำไปลงทุนต่อในอนาคต























วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)

เป็นธุรกิจในการลงทุนระยะยาวซึ่งลงทุนเหมือนเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของกิจการในบริษัทที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตสูง นอกเหนือจากการสนับสนุนทางด้านการเงินแล้วผู้ประกอบกิจการธุรกิจร่วมลงทุนยังให้คำปรึกษาทางด้านการเงินอีกทั้งยังชี้แนวทางต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจนั้นๆ สามารถที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็วเพื่อที่จะได้พร้อมที่จะจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่

เนื่องจากการร่วมลงทุนระยะยาวดังกล่าวเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงในการลงทุนสูง ธุรกิจร่วมลงทุนจึงต้องการที่จะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนที่สูงตามความเสี่ยงนั้นๆ โดยมักมีแผนการในการออกจากการลงทุน (Exit plan) ดังกล่าวเมื่อบริษัทที่ร่วมทุนนั้นๆ ได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนแบบหุ้นส่วน ถ้าเงินร่วมลงทุนนั้นๆ ได้ผลตอบแทนในอัตราสูงก็หมายความว่าเจ้าของกิจการนั้นๆ ก็จะได้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงเช่นกัน

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เป้าหมายทางการเงินในการประกอบธุรกิจ และหน้าที่งานการเงิน

ในการประกอบธุรกิจโดยทั่วไปผู้บริหารการเงินคงคุ้นเคยกับวัตถุประสงค์หลักในการประกอบธุรกิจ คือ “การแสวงหากำไรสูงสุด (Profit maximixation)” โดยเฉพาะฝ่ายการตลาด ที่ต้องพยายามทำการขายสินค้าและบริการให้ได้รายรับรวมสูงสุดมากกว่าต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ
แต่หากมองในแง่ของผู้บริหารการเงินแล้ว ยอดขายรวมที่ได้จากการขายของฝ่ายการตลาดนั้นมีความไม่แน่นอนในเรื่องของเวลาอยู่ด้วย อีกทั้งแนวทางในการบันทึกมูลค่ากำไรในทางบัญชีของแต่ละธุรกิจยังแตกต่างกัน ทำให้กำไรสูงสุดของแต่ละธุรกิจ แต่ละช่วงเวลานั้นไม่แน่นอน แถมยังมีปัจจัยเรื่องมูลค่าของเงินตามเวลาที่เป็นส่วนสำคัญที่กระทบต่ออัตราผลตอบแทนของธุรกิจ ทำให้การพิจารณาในการตัดสินใจทางการเงินต้องทำอย่างรอบคอบโดยครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความสัมพันธ์ระหว่าง ผลิตภัณฑ์ การตลาด และส่วนประสมการตลาด

ตามที่ Kotler กูรูด้านการตลาดได้กล่าวไว้ว่า ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง สิ่งใดๆ ที่เสนอออกสู่ตลาดเพื่อการรู้จัก การเป็นเจ้าของ การใช้ หรือการบริโภค และสามารถตอบสนองความจำเป็นและความต้องการของตลาดได้ นอกจากนี้ยังให้ความเห็นไว้ด้วยว่าผลิตภัณฑ์นั้นประกอบไปด้วย
  1. ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวตน (Tangible goods) เช่น ปากกา ข้าว เครื่องมือช่าง เสื้อผ้า เป็นต้น
  2. ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible goods) เช่น การประกันภัย การศึกษา การให้การรักษา เป็นต้น
 
ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า ผลิต

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ความสำคัญของการบริหารการเงิน

หากกล่าวถึงการบริหารการเงิน หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยากหรือเป็นเรื่องไกลตัว แต่บางคนอาจคิดไปถึงแค่การดูแลรายรับ รายจ่าย ของกิจการเพียงเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย และเศรษฐกิจระหว่างประเทศมีภาวะการแข่งขันที่ซับซ้อนและรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้นักการเงิน หรือผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการเงินมีความจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับการตัดสินใจทางการเงินในหลายๆด้าน  โดยจะรวมถึงการประสานงานกับฝ่ายต่างๆในองค์กร